“พระนอนหงาย” พระยาพิชัยร่วมปฏิสังขรณ์
พระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง หรือ
พระนอนหงาย
ที่วัดราชคฤห์วรวิหาร มีพระพุทธรูปที่มีลักษณะพิเศษองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง หรือพระนอนหงายซึ่งมีอายุเก่าแก่นับตั้งแต่
รัชสมัยของพระเจ้าเอกาทศรถ ซึ่งปัจจุบัน
ก็ยังคงมีความสมบูรณ์อย่างมาก
พระนอนหงาย
ที่วัดราชคฤห์วรวิหาร มีพระพุทธรูปที่มีลักษณะพิเศษองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง หรือพระนอนหงายซึ่งมีอายุเก่าแก่นับตั้งแต่
รัชสมัยของพระเจ้าเอกาทศรถ ซึ่งปัจจุบัน
ก็ยังคงมีความสมบูรณ์อย่างมาก
ในหนังสือประวัติวัดราชคฤห์วรวิหาร พ.ศ. 2549 ได้ให้ข้อมูลประวัติพระนอนหงายในสมัยกรุงธนบุรีเพิ่มเติมว่า
พระปรางค์พระยาพิชัยดาบหัก ที่เชื่อกันว่าบรรจุอัฐิของพระยาพิชัย ณ วัดราชคฤห์ ด้านหลังขวามือคือพระวิหารใหญ่ ซ้ายมือคือมณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองบนภูเขามอ
“พระยาพิชัยดาบหัก ได้บูรณะปฏิสังขรณ์วิหารเล็กแล้ว จากนั้นก็บูรณะปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง (พระนอนหงาย) เพื่อเป็นการบำเพ็ญบุญอุทิศกุศลให้แก่เพื่อนทหารที่เป็นข้าศึกและชาวบ้านที่ล้มตายเป็นจำนวนมาก เพราะตนเป็นต้นเหตุเป็นเหมือนการชดใช้ถ่ายกรรมที่ตนได้ฆ่าคนตายไป ดังนั้นชาวบ้านจึงนิยมมากราบไหว้ขอถ่ายกรรมและขอพร เพื่อให้ประสบความสำเร็จ มีโชคมีลาภ เป็นการแก้ร้ายให้กลับกลายเป็นดีกันเป็นจำนวนมาก”
“พระยาพิชัยดาบหัก ได้บูรณะปฏิสังขรณ์วิหารเล็กแล้ว จากนั้นก็บูรณะปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง (พระนอนหงาย) เพื่อเป็นการบำเพ็ญบุญอุทิศกุศลให้แก่เพื่อนทหารที่เป็นข้าศึกและชาวบ้านที่ล้มตายเป็นจำนวนมาก เพราะตนเป็นต้นเหตุเป็นเหมือนการชดใช้ถ่ายกรรมที่ตนได้ฆ่าคนตายไป ดังนั้นชาวบ้านจึงนิยมมากราบไหว้ขอถ่ายกรรมและขอพร เพื่อให้ประสบความสำเร็จ มีโชคมีลาภ เป็นการแก้ร้ายให้กลับกลายเป็นดีกันเป็นจำนวนมาก”
ประวัติของวัดราชคฤห์มีอยู่หลายสำนวน และพระยาพิชัยดาบหักก็มักจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านี้อยู่ด้วย แต่จากที่ ทัศน์ ทองทราย ไปค้นหาข้อมูลมาทั้งหนังสือศิลปวัฒนธรรมไทย เล่ม 4 วัดสำคัญกรุงรัตนโกสินทร์ โดยกรมศิลปากร พ.ศ. 2525 และหนังสือประวัติวัดราชคฤห์โดยราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2528 ระบุเพียงว่า
“ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี คงมีการบูรณปฏิสังขรณ์วัด เพราะเชื่อว่าพระยาพิชัยดาบหัก แม่ทัพสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นผู้สร้างพระอุโบสถ ซึ่งปัจจุบันคือพระวิหารใหญ่ และพระปรางค์ด้านหน้าพระวิหารใหญ่”
พระอุโบสถที่สร้างขึ้นใหม่ สมัยรัชกาลที่ 3
ขณะที่ สุรินทร์ มุขศรี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
“เรื่องของพระยาพิชัยมีข้อน่าสังเกตคือ หากพระยาพิชัยเป็นผู้สร้างโบสถ์ที่วัดนี้ท่านควรจะสร้างขึ้นช่วงใด เนื่องจากดูตามประวัติแล้วพระยาพิชัยมีเวลาใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงธนบุรีน้อยมากเพราะต้องออกจากสงครามตลอด ครั้นปี ๒๓๑๒ ได้ขึ้นไปเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพิชัย เพื่อคุมกำลังป้องกันพม่าอยู่ทางหัวเมืองเหนือ จนเสร็จศึกที่เมืองเชียงใหม่ในปี ๒๓๑๗ พระยาพิชัยจึงมีโอกาสตามเสด็จลงมากรุงธนบุรีอีกครั้ง แต่อยู่ได้ไม่ถึงปี อะแซหวุ่นกี้ก็ยกมาล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ พระยาพิชัยขึ้นไปรบพร้อมกับทัพหลวง และหลังศึกคราวนี้ท่านรักษาการอยู่ที่เมืองพิชัยจนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี”
ขณะที่ สุรินทร์ มุขศรี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
“เรื่องของพระยาพิชัยมีข้อน่าสังเกตคือ หากพระยาพิชัยเป็นผู้สร้างโบสถ์ที่วัดนี้ท่านควรจะสร้างขึ้นช่วงใด เนื่องจากดูตามประวัติแล้วพระยาพิชัยมีเวลาใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงธนบุรีน้อยมากเพราะต้องออกจากสงครามตลอด ครั้นปี ๒๓๑๒ ได้ขึ้นไปเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพิชัย เพื่อคุมกำลังป้องกันพม่าอยู่ทางหัวเมืองเหนือ จนเสร็จศึกที่เมืองเชียงใหม่ในปี ๒๓๑๗ พระยาพิชัยจึงมีโอกาสตามเสด็จลงมากรุงธนบุรีอีกครั้ง แต่อยู่ได้ไม่ถึงปี อะแซหวุ่นกี้ก็ยกมาล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ พระยาพิชัยขึ้นไปรบพร้อมกับทัพหลวง และหลังศึกคราวนี้ท่านรักษาการอยู่ที่เมืองพิชัยจนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี”
ประวัติวัดราชคฤห์จึงยังมีความคลุมเครือ แต่ก็มีความน่าสนใจให้ศึกษา และยังมีพระพุทธรูปลักษณะพิเศษที่หาชมได้ยาก ชาวพุทธหรือผู้สนใจประวัติศาสตร์ท่านใด หากได้แวะเวียนไปย่านธนบุรี ก็น่าพิจารณาหาโอกาสเข้าเยี่ยมชมวัดเก่าแก่แห่งนี้ดู