![]() |
(Mokele Mbembe) สัตว์ผู้หยุดสายน้ำโมเคลลี มเบมเบ้
🦘เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสชมสารคดีทางช่อง National Geographic ครับ เป็นซีรี่ยส์ “Beast Hunter”
ว่าด้วยเรื่องของการตามล่าสัตว์ในตำนานที่เล่าขานกันทั่วโลก ตอนที่รับชมนั้นเป็นเรื่องของการตามหาตัวของสัตว์ลึกลับที่ประเทศคองโกครับ ชื่อของมันก็คือ โมเคลลิ เบมเบ้ (Mokele Mbembe) ครับ ออกเสียงยากเล็กน้อย เลยนึกถึงเรื่องบทความเจ้าสัตว์ตัวนี้ ที่แต่ก่อนเคยทำไว้ลงที่เวบ Myth เมื่อนานมาแล้วครับ นำมาลงไว้อีกครั้งเผื่อจะมีผู้ที่สนใจอ่านอีกนะครับ ในส่วนของข้อมูลนั้นได้ทำการแก้ไขให้กระชับขึ้น เพราะกลับมาอ่านอีกที แต่ก่อนเขียนใส่น้ำไปซะเยอะ เลยต้องปรุงใหม่ซะหน่อยและก็เพิ่มข่าวล่าสุดที่มีการกล่าวถึงเจ้าโมเคลลีนี้ด้วยเล็กน้อยครับ ว่าแล้วก็เชิญรับชมกันได้ตามอัธยาศัยเลยครับจากที่เคยลงในเวบ Myth ครับ
🦘คราวนี้จะพาไปติดตามเรื่องของสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งหรือสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์ลึกลับที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานมีอยู่อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่คำบอกเล่าจากปากของพยานที่อ้างว่าพบเห็นเท่านั้น เจ้าสัตว์ลึกลับนี้ก็คือ.....
"โมเคลเล มเบมเบ้ " ภาษาคองโกนั้นความหมายว่า "ผู้หยุดสายน้ำ"ครับ
![]() |
🦘หลักฐานบันทึกของเจ้าสัตว์ตัวนี้ตามที่ได้มีการบันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรก ก็ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ.1776 ครับ เป็นของบาทหลวง ไลเวน โพรยาท (Lievain Proyart) ซึ่งได้บันทึกสถานที่ที่เห็นเจ้า โมเคลเล มเบมเบ้ เอาไว้ว่าอยู่ในประเทศคองโก ทวีปแอฟริกา ซึ่งได้เจอโดยบังเอิญตอนท่านเข้าไปเผยแพร่ศาสนาแก่ชนพื้นเมืองที่นั่น ตามบันทึกของบาทหลวงผู้นี้ได้บรรยายลักษณะของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า ไม่เหมือนกับบรรดาสรรพสัตว์ที่ท่านเคยเห็นมาก่อน บาทหลวงท่านบรรยายไว้ว่ายังงี้ครับ “เจ้าสัตว์ตัวนี้มีขนาดใหญ่ คอยาว ตัวมีสีน้ำตาลแก่ค่อนไปทางดำ หางยาวเหมือนกิ้งก่า ลำตัวเรียบไม่มีเกล็ด ยืนสี่เท้า
🦘เหมือนไดโนเสาร์ในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือบรอนโตซอรัส นั่นเอง บาทหลวงได้บรรยาอีกว่าได้พบรอยเท้าของเจ้าโมเคลเล มเบมเบ้ ที่ทิ้งเอาไว้ที่ริมฝั่งแม้น้ำ โดยรอยเท้านั้นมีขนาดใหญ่ 3 ฟุตเมื่อวัดโดยรอบ จากคำบอกเล่าของชนพื้นเมืองกล่าวถึงเจ้าสัตว์ตัวนี้ว่า "มันมีรูปร่างใหญ่โต รูปร่างเหมือนครึ่งช้างครึ่งมังกร คอและหางยาว อาศัยอยู่ในบึง" นับว่าเป็นจุดกำเนิดให้กับเรื่องเล่าขานจากสัตว์ลึกลับที่คองโกเลยทีเดียวครับ
🦘ต่อมาในปี ค.ศ.1909 พอล แกรทซ์ (Paul Gratz) ก็ได้บันทึกและตีพิมพ์เรื่องของเจ้าสัตว์นี้เอาไว้เช่นกันครับ เขากล่าวว่า "แม้มันอาจดูคล้ายกับจระเข้ตัวโตมาก แต่ไม่ใช่อย่างแน่นอน ผิวหนังของมันไม่มีเกล็ดเลย และที่เท้าก็มีกรงเล็บทั้งสี่ขา" ซึ่ง พอล เล่าว่าได้เห็นมันขณะที่มันว่ายน้ำอยู่ในบึงที่ใกล้กับทะเลสาบ บังวีลู (Bangweulu) ที่ประเทศแซมเบีย (Zambia)
![]() |
🦘ต่อมาในปีเดียวกันนักธรรมชาติวิทยา คาร์ล ฮาเก้นเบ็ค (Carl Hagenbeck) ได้มาทำการสำรวจพื้นที่นี้จากคำบอกเล่าของชาวเยอรมัน ฮานส์ ชอมเบิร์ก (Hans Schomburgh) และพรานชาวอังกฤษ โจเซฟ เมนเกส (Joseph Menges) เพื่อตามหาเจ้าสัตว์ตัวที่ว่านี้ ด้วยเครื่องมือและ อุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้นพร้อมด้วยผู้ช่วยและเพื่อนที่เป็นนักธรรมชาติวิทยาด้วยกันอีกหลายคน แต่ทว่า ฮาเก้นเบ็ค ก็ต้องล้มเลิกการสำรวจครั้งนี้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากปัญหาของชนพื้นเมืองที่ไม่เป็นมิตร
และบรรดาโรคภัยไข้ป่านานาชนิดที่เล่นงานลูกทีมของเขา
🙊จากบันทึกตีพิมพ์ของ ชอมเบิร์ก ก็ยังกล่าวถึงเรื่องราวของสัตว์ประหลาดอีกตัวที่อาศัยอยู่ในบึง ดิโลโล (Dilolo) หรือที่ชนพื้นเมืองเรียกขนานนามว่า ชิมเพคเว่ (Chimpekwe) ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นตัวเดียวกันกับเจ้าโมเคลลีหรือเปล่า
🦘ต่อมาในปี ค.ศ.1913 นายทหารชาวเยอรมัน เฟร์เฮอร์ วอน สไตน์ (Freiherr von Stein) ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ทำการตีพิมพ์เรื่องราวของสัตว์ตัวนี้เอาไว้เช่นกัน เมื่อเขาถูกส่งไปสำรวจที่ประเทศ คาเมรูน (Cameroon) จากคำสั่งของรัฐบาล ในรายงานของเขากล่าวว่าได้พบมันหลายครั้งที่แม่น้ำ อูบันจี้ (Ubangi) ซานกา (Sanga) และไอเคลเลมบา (Ikelemba) ในขณะที่เขาทำการสำรวจภูมิประเทศอยู่ บทบรรยายของเขากล่าวว่า "สัตว์ตัวนี้มีผิวหนังที่เรียบเป็นมันสีเทาค่อนไปทางน้ำตาล ขนาดตัวใหญ่มากกว่าช้าง คอยาว หางดูเหมือนจระเข้" เขายังได้พบเจ้าสัตว์นี้อีกที่แม่น้ำ สคอมโบ (Scombo) ขณะที่มันกำลังกินอาหารพืชอยู่
![]() |
🦘มาต่อกันที่ปี ค.ศ.1920 ในปีนี้ข่าวของเจ้า โมเคลเล มเบมเบ้ ก็ได้กระจายเพิ่มมากขึ้นและมีการตั้งคณะออกค้นหามันกันอย่างจริงจังครับ เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของข่าวสัตว์ตัวนี้เลยทีเดียว จนถึงขนาดมีการตั้งสมาคมขึ้นมาเพื่อค้นหามันโดยเฉพาะ รวมไปถึงข่าวลือและรายงานการพบเห็นปลอมก็ออกมาอย่างมากมายเช่นกัน แต่ก็เหมือนเดิมครับ ยังไม่มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่า รายงานการพบเห็น และหลายคณะที่ออกค้นหาก็ได้มีการยอมแพ้และล้มเลิกไปตามๆ กัน จนผู้คนแทบจะลืมเรื่องราวของมันไปแล้ว จนกระทั่งในปี ค.ศ.1948 เมื่อนักสัตววิทยา ไอแวน แซนเดอร์สัน (Ivan T. Sanderson) ได้ตีพิมพ์เกี่ยวกับการตามรอยสัตว์ที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ ที่มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ ที่ประเทศคองโก ทำให้มีการออกตามหาเจ้าสัตว์ที่ว่าขึ้นมาอีกครั้ง
![]() |
🦘ในปี ค.ศ.1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน เจมส์ พาวเวล์ (James H. Powell Jr.) ได้ตั้งทีมค้นหาและได้หลักฐานและรูปถ่ายร่องรอยมากขึ้น และนักสัตววิทยา รอย แมคคอล (Roy P. Mackal) เดินทางไปด้วย และจากรายงานของการพบเห็นยที่บริเวณ ทะเลสาบเทเล แต่คว้าน้ำเหลวอีกเช่นเคครับ
👉มีรายงานอีกเป็นพันฉบับที่กล่าวว่า โมเคลเล มเบมเบ้ นั้นอาจถูกฆ่าตายไปแล้วโดยชนพื้นเมืองที่นั่น หายังไงก็ไม่มีทางเจอ ว่ากันเข้านั่นครับ
![]() |
🦘ในการออกค้นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดก็คงจะเป็นในปี 1981 ครับ คราวนี้ได้ระดมเหล่านักวิชาการจากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น นักธรรมชาติวิทยา นักสัตววิทยา พรานและผู้ชำนาญด้านพื้นที่และภูมิประเทศ คราวนี้ความหวังดูจะใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ มีรายงานการพบรอยเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่ ที่ย่ำเป็นทางเดินบนแปลงผักของชาวไร่ อย่างชัดเจน ทั้งยังชาวบ้านในละแวกนั้นได้ยินเสียงคำรามหรือเสียงร้องจากสัตว์ที่พวกเขา ไม่เคยเห็น ชาวบ้านหลายคนอ้างว่า เห็นตัวของมันขณะที่มันกำลังเดินออกจากบริเวณหมู่บ้านลงแม่น้ำไปอีกด้วย
😳และคาดกันว่าขนาดตัวของมันน่าจะยาวประมาณ 30 -35 ฟุต จากหัวถึงหาง แต่ทว่าเป็นน่าเสียดายที่การออกค้นหาครั้งสำคัญนี้ไม่ประสบความสำเร็จในการถ่ายรูปหรือจับตัวเจ้าสัตว์ลึกลับนี้มาได้ สาเหตุหลักที่สำคัญก็เพราะ ขอบเขตและความสามารถในการสำรวจ ถูกกำจัดด้วยหลายๆ สิ่ง เช่น สภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าดงดิบ สภาพอากาศที่แปรปรวน สัตว์ร้าย เช่น เสือหรือจระเข้ ไข้ป่านานาชนิด ชนพื้นเมืองที่ไม่เป็นมิตรบางกลุ่ม รวมการติดต่อระหว่างทีมงานและการอัพเดตข่าวสารอาจจะยังไม่ทันสมัยมากนัก ทำให้เกิดความล่าช้าในการทำงาน สิ่งเหล่านี้นั้นทำให้ประสิทธิภาพในการออกติดตามหา โมเคลเลเบมเบ้ มีไม่เต็มที่เท่าที่ควร ทำให้ไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันกว่านี้ ออกมาได้ ซึ่งก็เป็นที่ผิดหวังของบรรดาผู้ที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่จะยลโฉมเจ้า โมเคลเล มเบมเบ้ กันอย่างมากครับหรือว่าตัวจริงของโมเคลเล มเบมเบ้ ก็คือหนึ่งในสามตัวนี้ ???
🦘ครับ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ของบรรดาสัตว์ลึกลับในโลกใบนี้ หรือบางทีอาจจะไม่ลึกลับก็ได้ แต่เป็นเรื่องราวที่ผมคิดว่าน่าสนใจดี ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาหรือการติดตาม ซึ่งเรามักจะได้หลักฐานเพียงแค่ภาพถ่ายมัวๆ ระยะไกลๆ รอยเท้า หลักฐานหรือข้อพิสูจน์ที่ไม่ชัดเจน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? มันจะบังเอิญไปเสียทุกครั้งหรือเปล่า ? มันน่าคิดครับ แต่ว่าปล่อยให้มันเป็นเรื่องลึกลับไปตามเดิมดีกว่า "เสน่ห์" ของเรื่องลึกลับมันอยู่ตรงนี้แหละ ตรงที่เราไม่รู้คำตอบของมันได้ทั้งหมด เป็นอะไรที่น่าค้นหา ช่างเหมือนกับปริศนาชิ้น ใหญ่ที่รอการเติมให้สมบูรณ์เสียจริง จนกว่าจะถึงวันนั้นวันที่ปริศนาเหล่านี้ได้ถูกคลี่คลายลง เราก็คงจะรู้อะไรเพิ่มเติมมากไปกว่านี้ ถึงตอนนั้นความรู้สึกของเราต่อเรื่องลึกลับเหล่านี้จะเป็นยังไง ผมคนนึงละที่อยากรู้ครับ
🦘หลังจากนั้นก็แทบจะไม่มีข่าวคราวของทีมที่ตั้งออกตามหาเจ้าสัตว์ชนิดนี้ออกมาอีกครับ ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปก็เหลือแต่เพียงเรื่องราวของสัตว์ลึกลับ ลักษณะคล้ายกับไดโนเสาร์บรอนโตเซารัสที่อาศัยอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำในคองโก เป็นตำนานเล่าขานถึงการมีตัวตนของ โมเคลเล มเบมเบ้ สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีนักวิชาการบางท่านให้ทฤษฎีว่า มันก็อาจจะเป็นเพียงช้าง หรือฮิพโปโปเตมัส ไม่ก็แรดตัวหนึ่งเท่านั้น แล้วนำมาเสริมเติมแต่งให้มันเป็นสัตว์ประหลาดไปภาพช้างว่ายน้ำอาจจะเป็นแรงบันดาลใจในเรื่องสัตว์ลึกลับ ???
![]() |
🦘แถมท้ายนิดนึงครับ สำหรับบทสรุปของสารคดีที่เคยผ่านมาตาตามที่ได้เล่าไปข้างต้นนั้น ก็เช่นเคยครับ ทีมงาน Nat Geo ก็ได้เดินทางไปเก็บข้อมูลที่สถานที่จริง ผ่านพยานและเรื่องเล่า รวมถึงออกสำรวจไปยังที่ต่างๆ ในตอนท้ายก็สรุปถึงความเป็นไปได้ของตัวจริงของเจ้าโมเคลเล มเบมเบ้ ครับ ว่ามันอาจจะเป็นเพียงช้างเท่านั้น ไม่ก็ฮิพโปโปเตมัส ตัวเขื่องเท่านั้นเอง